วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

007: Canon In D Major -- The Most Beautiful Song

...ไม่เจอได้กันเสียหลายวัน วันนี้เลยขอกลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง แต่ขออนุญาติฉีกแนวนิดหนึ่งเพราะจะขอพูดถึงเพลงคลาสสิกอมตะอย่าง Canon In D Major ครับ

Johann Pachelbell
 สำหรับเพลง Canon In D นี้ ประพันธ์โดย Johann Pachelbel คีตกวีชาวเยอรมัน เชื่อว่าเพลงนี้คงจะเป็นเพลงคลาสสิกเพลงแรกๆที่หลายคนนึกถึง ...มีการนำเพลงนี้ไปทำใหม่มากมายหลายเวอร์ชั่น  รวมทั้งถูกนำไปใช้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์หลายเรื่อง อย่าง Ordinary People และ My Sassy Girl ที่หลายคนรู้จักดี

ความพิเศษของเพลงนี้นอกเหนือจากความไพเราะของท่วงทำนองแล้ว ลักษณะของการใช้เครื่องดนตรีในการบรรเลงก็น่าสนใจไม่แพ้กัน โดย Canon In D Major ที่ Pachelbel ประพันธ์ไว้ จะใช้เครื่องดนตรี4ชิ้นในการเล่น คือไวโอลิน 3 ตัวและเบส (Bass) 1 ตัว ซึ่งเบสนี้จะเล่นโน๊ต8ตัวตลอดทั้งเพลง


คำว่า "Canon" ในทางดนตรีนั้นหมายถึงการเล่นวนซ้ำ ซึ่งรูปแบบการบรรเลงเพลงนี้จึงเริ่มจาก
-เบสจะเริ่มเล่นเดี่ยว 4 ห้องเพลง
-จากนั้นไวโอลินตัวแรก จะเริ่มเล่นทำนองหลัก 4 ห้อง ขณะที่เบสยังคงบรรเลงท่อนเดิมวนไปเรื่อยๆ
-เมื่อไวโอลินตัวแรกเล่น 4 ห้องแรกผ่านไป จะเล่นทำนองถัดไป ไวโอลินตัวที่2 จะเริ่มเล่นโน๊ต4ห้องแรก ที่ไวโอลินตัวแรกเล่นผ่านไปแล้วตามโน๊ตเดิมทุกประการ
-เมื่อไวโอลินตัวแรกเริ่มเล่นทำนองที่3 ไวโอลินตัวที่2 จะเล่นทำนองที่2 และไวโอลินตัวที่3จึงจะเริ่มเล่นทำนองแรก ตามกันไปอย่างนี้เรื่อยๆจนจบเพลง ซึงไม่น่าเชื่อว่าลักษณะการเล่นแบบนี้จะทำให้เกิดท่วงทำนองที่ไพเราะติดหูขึ้นมาได้


จากการที่ Canon In D Major ถูกนำไปทำใหม่อยู่หลายครั้ง ทำให้มีเพลงนี้ในเวอร์ชั่นที่หลากหลายและแตกต่างออกไป ทั้งเวอร์ชั่นแบบ Acoustic, แบบร้องประสานเสียง, แบบที่บรรเลงโดยเปียโน และแบบRock ที่โด่งดังในยุคสมัยนี้ 


ในเวอร์ชั่นเปียโน อาจจะเป็นแบบที่เราเคยได้ยินมากที่สุด ซึ่งก็จะไม่สามารถเล่นโดยใช้การบรรเลงแบบเดิม เนื่องจากมีความซับซ้อนเกินกว่าจะบรรเลงด้วยเปียโนเครื่องเดียว ดังนั้นจึงมีการแก้ไขสกอร์เพลงเพื่อให้เข้ากับเปียโนครับ สำหรับผม แนะนำให้ฟังเวอร์ชั่นที่บรรเลงโดย  Yiruma นักเปียโนชาวเกาหลีผู้โด่งดัง เพลงนี้เขาทำไว้สุดยอดจริงๆ!!


เวอร์ชั่นอื่นๆที่น่าสนใจมีอีกมาก อย่างเพลง Lullaby ของวง Bond ที่แปลกแหวกแนวโดยการใช้เทคนิคการเล่นแบบสมัยใหม่ หรืออย่างเพลง Young Blood ของศิลปินไทย3พี่น้องนักดนตรี Vietrio เวอร์ชั่นนี้มีท่อนแร็พมันส์ๆ ผสมผสานกับจังหวะที่เร็วขึ้นกว่าแบบดั้งเดิม ฟังแล้วฟังอีกไม่รู้เบื่อจริงๆครับ...
ส่วนตัวแล้ว ผมรู้สึกประทับใจกับเพลงนี้เป็นพิเศษ เพราะฟังมาตั้งแต่เด็กๆ สร้างแรงบันดาลใจหลายๆอย่างในชีวิตให้กับตัวเอง และคงจะไม่เกินความจริงมากนัก หากจะกล่าวว่า นี่เป็นเพลงที่เพราะที่สุดเท่าที่ผมเคยฟังมา...สำหรับคนที่ยังไม่เคยฟังมาก่อน หรือจำไม่ได้แล้ว ผมแนะนำให้คุณลองไปหาฟังกันดูได้ครับ แล้วคุณจะพบว่าโลกนี้ยังอบอวลไปด้วยความสวยงามของเสียงดนตรี ในแบบที่คุณจะประทับใจไปอีกนานเลยทีเดียวครับ


iWhitmore

ขอบคุณที่มาของข้อมูลบางส่วนจาก: http://en.wikipedia.org/wiki/Johann_Pachelbel 
และภาพประกอบจาก: http://www.kunstderfuge.com/pachelbel.htm

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

006: Royal Wedding Schedules

29 เมษายน 2011 เวลา 14.50น.
....อีกไม่กี่นาทีที่จะถึงนี้ นับว่าเป็นอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์แห่งราชวงศ์อังกฤษที่ชาวอังกฤษและคนทั่วโลกต่างจดจำไปอีกนานแสนนาน วันที่เจ้าชายวิลเลี่ยมและพระคู่หมั้น: เคท มิดเดิลตัน จะเข้าสู่พระราชพิธีเสกสมรสอันยิ่งใหญ่ ณ วิหารเวสต์มินสเตอร์ ในกรุงลอนดอน วันนี้ ผมเลยมีหมายกำหนดการพระราชพิธีเสกสมรสมาฝากกันครับ


อ้อ!! ขอชี้แจงไว้นิดหนึ่งว่า ตารางเวลาด้านล่างนั้นเป็นเวลาท้องถิ่นของประเทศอังกฤษ ซึ่งจะช้ากว่าเวลาในประเทศไทย 6 ชั่วโมง ดังนั้น เพื่อให้เข้ากับเวลาของประเทศไทย ผู้อ่านจึงต้องบวกเวลาเพิ่มเข้าไปจากในหมายกำหนดการอีก 6 ชั่วโมงนะครับ...
วิหารเวสต์มินส์เตอร์

ถนน เดอะมอลล์ หน้าพระราชวังบักกิ้งแฮม
08.15 - 09.45: แขกจำนวน 1,900 คน เดินทางถึงประตูทิศเหนือของวิหารเวสต์มินสเตอร์

09.50: นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐบาล พร้อมด้วยแขกพิเศษ เดินทางถึงวิหารเวสต์มินสเตอร์

10.10: เจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮรี่ซึ่งทรงทำหน้าที่เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวเสด็จออกจากวังคลาเรนซ์ เฮาส์ เพื่อเสด็จไปยังวิหารเวสต์มินสเตอร์ 



10.20: พระราชวงศ์ต่างประเทศเสด็จจากพระราชวังบัคกิ้งแฮมถึงวิหารเวสต์มินสเตอร์

10.20: ครอบครัวของเคท มิดเดิลตัน ประกอบด้วย แครอล มิดเดิลตัน (มารดา) และเจมส์ มิดเดิลตัน (น้องชาย) ออกจากโรงแรม Goring Hotel เพื่อไปยังวิหารเวสต์มินสเตอร์

10.25: สมาชิกของราชวงศ์อังกฤษเสด็จออกจากพระราชวังบัคกิ้งแฮมสู่วิหารเวสต์มินสเตอร์

10.35: ดยุคแห่งยอร์ค, เจ้าหญิงเบียทริซ, เจ้าหญิงยูจีนี่, เอิร์ลและเคาท์เตสแห่งเวซเซกส์. เจ้าฟ้าหญิงและทิโมธี ลอเรนซ์ เสด็จออกจากพระราชวังบัคกิ้งแฮมสู่วิหารเวสต์มินสเตอร์

10.38: เจ้าชายแห่งเวลส์และดัชเชสแห่งคอร์นวอลเสด็จจากวังคลาเรนซ์ เฮาส์ สู่วิหารเวสต์มินสเตอร์

10.40: สมเด็จพระราชินีและดยุคแห่งเอดินเบิร์กเสด็จจากพระราชวังบัคกิงแฮมสู่วิหารเวสต์มินสเตอร์

10.48: เพื่อนเจ้าสาวออกจากโรงแรมกอริง สู่วิหารเวสต์มินสเตอร์

10.51: เจ้าสาวและบิดา นายไมเคิล มิดเดิลตัน ออกจากโรงแรมกอริง สู่วิหารเวสต์มินสเตอร์

11.00: เริ่มพิธีอภิเษกสมรส โดยมีผู้บรรยายคอยบรรยายรายละเอียดในพระราชพิธีอยู่ตลอดเส้นทาง มีจอขนาดใหญ่ที่ถ่ายทอดพิธีการอยู่ที่ไฮด์ พาร์คและจัตุรัสทราฟัลการ์

12.15: รถม้าของเจ้าบ่าวและเจ้าสาว ตามด้วยรถม้าของสมเด็จพระราชินีออกจากวิหารเวสต์มินสเตอร์ มุ่งสู่พระราชวังบัคกิ้งแฮม

12.30: รถม้าของเจ้าสาวถึงพระราชวังบัคกิ้งแฮม

12.40: สมาชิกราชวงศ์และพระราชวงศ์จากต่างประเทศเสด็จถึงพระราชวังบัคกิงแฮม

           แขกท่านอื่นๆเดินทางถึงพระราชวังบัคกิ้งแฮม

13.25: สมเด็จพระราชินี บ่าว-สาว พร้อมด้วยครอบครัวเสด็จออกสู่ระเบียงพระราชวังบัคกิ้งแฮม

13.30: การแสดงโชว์การบินจากกองทัพอากาศอังกฤษและ Battle of Britain Memorial Flight ( เป็นกองบินของกองทัพอากาศอังกฤษที่แสดงการบินเป็นกลุ่มของเครื่องบินรุ่น Avro Lancaster, Supermarine Spitfire และ Hawker Hurricane



สมเด็จพระราชินีพระราชทานมื้อเที่ยงรับรองแขกที่พระราชวังบัคกิ้งแฮม ในระหว่างการเลี้ยงรับรอง เจ้าชายวิลเลี่ยมและเคท จะปรากฏพระองค์ที่หน้ามุขของพระราชวังบัคกิ้งแฮม พร้อมด้วยสมาชิกราชวงศ์องค์อื่นๆ การเลี้ยงรับรองจะเสร็จในช่วงบ่าย และหลังจากนั้นจะเป็นการเสิร์ฟคานาเป้ให้แก่แขก


ช่วงบ่าย เจ้าบ่าวและเจ้าสาว จะเสด็จจากพระราชวังบัคกิ้งแฮมไปยังพระราชวังเซนต์เจมส์เพื่อทรงพักผ่อน จากนั้นในช่วงค่ำ เจ้าชายแห่งเวลส์จะพระราชทานมื้อค่ำเป็นการส่วนพระองค์ ตามด้วยการเต้นรำสำหรับพระสหายสนิทและครอบครัว ที่พระราชวังบัคกิ้งแฮม
เจ้าชายวิลเลียม และ เคท มิดเดิลตัน

iWhitmore

ขอบคุณที่มาของข้อมูลจาก: http://www.telegraph.co.uk/
http://en.wikipedia.org/wiki/Battle_of_Britain_Memorial_Flight
ภาพสวยๆจาก: http://wedding.voicetv.co.th/gallery/

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554

005: The Royal Wedding 2011



....วันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2011 ถือได้ว่าเป็นวันสำคัญที่ประชาชนจากทั่วทุกมุมโลกจับตามองไปที่พระราชพิธีเสกสมรส ระหว่าง เจ้าชายวิลเลี่ยม แห่งราชวงศ์วินด์เซอร์ของอังกฤษ กับ เคท มิดเดิลตัน ซึ่งจะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และสมพระเกียรติที่มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ รวมทั้งที่พระราชวังบัคกิ้งแฮมด้วย 


สำหรับสมเด็จเจ้าฟ้าชายวิลเลียมแห่งเวลส์ ทงเป็นพระโอรสองค์โตของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์แห่งเวลส์ กับ เลดี้ไดอาน่า ดัชเชสออฟคอร์นวอลล์ หรือเจ้าหญิงไดอาน่าอย่างที่เราเรียกกัน ดังนั้น พระองค์จึงทรงเป็นพระนัดดาในสมเด็จพระนางเจ้าเอลิซาเบ็ธที่2 แห่งสหราชอาณาจักร โดยเจ้าชายวิลเลี่ยม ทรงอยู่ในลำดับที่2 ของผู้สืบทอดราชบัลลังก์แห่งสหราชอาณาจักรถัดจากพระบิดา


ส่วน นางสาวแคทเธอรีน หรือ เคท มิดเดิลตัน เกิดในเมือบัคเคิลเบอร์รี่ มณฑลเบิร์กไชร์ เป็นลูกสาวคนโตของนาย ไมเคิล ฟรานซิส มิดเดิลตัน กับ นางแคโรล เอลิซาเบ็ธ มิดเดิลตัน 
...ทั้งสองพระองค์ได้พบรักกันขณะกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูว์ ในสก็อตแลนด์ ทางตอนเหนือของอังกฤษ และทรงหมั้นกันในปลายเดือนตุลาคมปี 2010 สำนักพระราชวังแห่งอังกฤษได้ประกาศอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกันนั้นว่า เจ้าชายวิลเลี่ยมจะทรงเข้าพิธีเสกสมรสกับนางสาวเคท มิดเดิลตัน ในวันที่ 29 เมษายน 2011 


...ส่วนแขกผู้ทรงเกียรติที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมในงานนี้ สำนักพระราชวังอังกฤษเปิดเผยว่า ได้แจกการ์ดเชิญแล้วถึง 1,900 ใบ ไปยังบุคคลสำคัญต่างๆ โดยเป็นพระประมุขจากประเทศต่างๆ จากทั่วโลกราว 40 พระองค์ ซึ่งรวมถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของไทย ส่วนที่เหลือก็เป็นบรรดาเพื่อนของทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาว ราว 1,000 คน และบุคคลที่มีชื่อเสียงอื่นๆ
...สำหรับประชาชนท่วโลก สมารถติดตามการถ่ายทอดสดพระราชพิธีอันยิ่งใหญ่นี้ได้จากหลายช่องทาง เช่น BBC World , CNN , NBC สำหรับประเทศไทย สามารถติดตามการถ่ายทอดสดได้ทาง http://wedding.voicetv.co.th/  หรือ ทรูวิชั่น ช่อง HD(113) , CNN(91) , BBC(93) , TLC(153) ช่อง3 ช่อง7 และ ช่อง9โมเดิร์นไนน์ รวมถึงเว็บไซต์ YouTube ได้ทำการถ่ายทอดสดเป็นครั้งแรก ผ่านทาง www.youtube.com/theroyalchannel ด้วยครับ...อย่าลืมติดตามกันให้ได้นะครับ :=]


iWhitmore

ขอบคุณข้อมูลจาก: http://www.youtube.com/theroyalchannel
ภาพสวยๆจาก:  http://wedding.voicetv.co.th
ติดตามข่าวสารและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของงานพระราชพิธีได้ที่:  http://www.officialroyalwedding2011.org

004: A Sandwich History

...ผมเชื่อว่าในโลกนี้ คงจะมีน้อยคนนะครับที่ไม่รู้จักอาหารขึ้นชื่ออย่างแซนด์วิช...ใช่แล้วครับ!! แซนด์วิช ที่ทำมาจากขนมปังสองชิ้นหรือมากกว่านั้นประกบกัน แล้วสอดใส้ด้วยเนื้อสัตว์ ทูน่า แฮม ชีส หรือสลัด หรือผักนั่นล่ะครับ เคยสงสัยมั้ยว่าที่มาของมันเป็นอย่างไร และทำไมถึงเรียกมันว่าแซนด์วิช?? วันนี้ผมเลยมีเรื่องเล่าขำๆเกี่ยวกับแซนด์วิชมาฝากครับ...
แซนด์วิชโฮลวีท สอดไส้ด้วยแฮมชีสและผัก
อันที่จริง แซนด์วิชนั้นเป็นอาหารที่มีมาตั้งนานมากแล้วครับ เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยยุคหินใหม่ (Neolithic)โน่นแน่ะ (นานจริงๆด้วย!!) เริ่มแรกเดิมทีนั้นเป็นขนมปังที่ไม่ได้ขึ้นฟูเหมือนอย่างทุกวันนี้(เรียกว่าMatzah) โดยสไลด์บางๆสอดไส้ด้วยสมุนไพรและเนื้อแกะที่ถูกบูชายัญในเทศกาลปัสกา(หรือเทศกาลพาสโอเวอร์)ของชาวยิวโบราณ


ตอนแรกจะเรียกอาหารประเภทนี้ว่าอะไรนั้น ก็หาได้มีใครทราบอย่างชัดเจนไม่ แต่ที่มาของชื่อ "แซนด์วิช" อย่างทุกวันนี้มันมีที่มาครับ...

จอห์น มองตากิว
เอิร์ลที่4 แห่งแซนด์วิช
>> สองร้อยกว่าปีที่แล้ว มีขุนนางคนหนึ่งในมณฑลเคนท์ของอังกฤษ ท่านผู้นี้มีนามว่า "จอห์น มองตากิว เอิร์ลคนที่4 แห่งแซนด์วิช"...ใช่แล้วครับ ในเคนท์นั้นมีเมืองหนึ่งชื่อว่าแซนด์วิช ท่านเอิร์ลผู้นี้ชอบเล่นไพ่เป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะเกมไพ่ที่เรียกว่า คริบเบจ (Cribbage) เอามากๆ ถึงขนาดไม่ยอมลุกออกไปไหนเลยเวลาเล่นไพ่ แม้แต่อาหารก็ไม่ยอมลุกไปกิน ท่านจึงสั่งให้ผู้รับใช้ เอาขนมปังสไลด์บางๆประกบกัน สอดไส้เนื้อและผัก รับประทานไปด้วยขณะเล่น พอใครนึกถึงเอิร์ล ออฟ แซนด์วิช ก็ต้องคิดถึงไอ้ขนมปังที่ท่านชอบทาน จนกลายเป็นที่มาของชื่อ " แซนด์วิช" นี่ล่ะครับ

**นอกจากนี้ หากคุณเดินทางไปอเมริกา อาจจะเห็นคนเอาป้ายโฆษณาห้อยข้างห้อยหลัง เดินไปมาตมถนนที่มีคนพลุกพล่าน...ป้ายโฆณานี้ฝรั่งเขาเรียกกันว่า "Sandwich-board" ส่วนคนที่แขวนป้ายนี้ก็้เรียกว่า "Sandwich-man" ครับ **

...เล่าไปเล่ามา ตอนนี้ผมชักเริ่มจะหิวเสียแล้วสิ ไปหาแซนด์วิชอร่อยๆทานกันดีกว่าครับ :=]


iWhitmore

ขอบคุณหนังสือที่จุดประกายเรื่องนี้แก่ผู้เขียน: เปิดฟ้าภาษาโลก เล่มที่1 โดย คุณนิติภูมิ นวรัตน์
ที่มาของข้อมูลบางส่วนจาก: http://en.wikipedia.org/wiki/Sandwich
เข้าไปดูรูปท่านเอิร์ลแบบเต็มๆใน: http://en.wikipedia.org/wiki/File:John_Montagu,_4th_Earl_of_Sandwich.jpg

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

003: House of Windsor

...ช่วงนี้กำลังเกาะกระแสประเทศอังกฤษอยู่ครับ และค่อนข้างเป็นความสนใจส่วนตัวของผู้เขียนด้วย อย่าเพิ่งเบื่อกันก่อนล่ะ :=]
ตราประจำราชวงศ์วินเซอร์
วันนี้จะขอพูดถึงเรื่องของราชวงศ์วินด์เซอร์แห่งอังกฤษเสียหน่อยครับ ว่าแล้วก็ไปติดตามกันเลย


...ขอเล่าความเดิมสักเล็กน้อยสำหรับจุดเริ่มต้นของราชวงศ์นี้ โดยย้อนไปเมื่อ172ปีก่อน สมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร ในราชวงศ์ฮันโนเวอร์ ได้อภิเษกกับ เจ้าฟ้าชายอัลเบิร์ต แห่ง แซ็กซ์-โคบูร์กและโกธา ซึ่งเป็นแคว้นหนึ่งในเยอรมันที่ตระกูลของพระองค์ทรงปกครองอยู่  จึงเป็นที่มาของชื่อราชวงศ์แซ็กซ์-โคบูร์กและโกธา ของอังกฤษในเวลาต่อมา ส่วนชื่อราชวงศ์ของเจ้าฟ้าชายอัลเบิร์ตคือราชวงศ์ "เวตติน"  


ต่อมาในสมัยสงครามโลกครั้งที่1 (ค.ศ.1917) อังกฤษกับเยอรมันเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน และชาวอังกฤษต่างมีความรู้สึกต่อต้านเยอรมัน ราชสำนักอังกฤษ ในรัชสมัยของพระเจ้าจอร์จที่5 จึงเปลี่ยนชื่อราชวงศ์จาก "แซ็กซ์-โคบูร์กและโกธา " เป็น "วินด์เซอร์" ซึ่งแปลงมาจากชื่่อของราชวงศ์เวตตินนั่นเอง
**สรุปคือ มีกษัตริย์2พระองค์เท่านั้นที่อยู่ในราชวงศ์แซ็กซ์-โคบูร์กและโกธา คือ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่7 (พระโอรสของควีนวิคตอเรีย) และอีกพระองค์คือพระเจ้าจอร์จที่5 เท่านั้น (ส่วนควีนวิคตอเรียยังทรงอยู่ในราชวงศ์ฮันโนเวอร์เหมือนเดิม) 


เรื่องของที่มานี้เอาคร่าวๆเท่านี้พอนะครับ เพราะถ้าจะลงให้ลึกกว่านี้จะปวดหัวเอาเสียง่ายๆ เนื่องจากต้องเล่าย้อนไปขึ้นไกลถึงยุคควีนวิคตอเรียโน่นล่ะครับ



ถ้าใครเคยดูหนังรางวัลออสการ์อย่าง "The King's Speech" หนังเรื่องนี้ก็เริ่มต้นจากตรงนี้ล่ะครับ เพราะถัดจากยุคของพระเจ้าจอร์จที่5 หลังจากเปลี่ยนเป็นวินด์เซอร์แล้ว กษัตริย์องค์ต่อมาคือพระเอ็ดเวิร์ดที่8 ซึ่งเป็นพระโอรส ทีนี้พระเจ้าเอ็ดเวิ์ดที่8 กลับไปหลงรัก "นางวอลลิส ซิมป์สัน" (ชื่อคุ้นๆมั้ยอ่ะ!!) หญิงอเมริกันที่เคยแต่งงานและหย่ามาแล้ว โดยมีพระประสงค์จะอภิเษกด้วย แต่ดันขัดกับกฎหมายของอังกฤษซึ่งห้ามอภิเษกกับหญิงที่เคยหย่ามาแล้ว ทำไงล่ะทีนี้??


คำตอบคือพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่8 จึงสละราชสมบัติให้กับพระอนุชาซึ่งต่อมาก็คือพระเจ้าจอร์จที่6 พระบิดาของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบ็ธที่2 ของเรานั่นเอง...อันนี้ก็เหมือนในเรื่อง The King's Speech เลยครับ ซึ่งคอลิน เฟิร์ธ รับบทเป็นพระเจ้าจอร์จที่6 (ที่พูดติดอ่างทีแรกนั่นล่ะครับ)


จริงๆแล้วพระเจ้าจอร์จที่6 นี่ไม่เคยคิดเลยว่าพระองค์เองจะต้องกลายเป็นกษัตริย์แห่งอังกฤษในที่สุด หลังจากยุคของพระองค์แล้ว ก็คือยุคของควีนเอลิซาเบ็ธที่2 ล่ะครับ....


เรื่องของราชวงศ์ ไม่ว่าจะของประเทศใดในโลก ล้วนเป็นเรื่องน่าปวดหัวเสียเหลือเกินครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป ที่สมัยก่อนมักจะอภิเษกกันเองและข้ามราชวงศ์กันไปมาเพื่อเสริมสร้างอำนาจของอาณาจักรตัวเอง อย่างไรก็ตาม ผมเองรู้สึกสนุกไปกับความปวดหัวเหล่านี้ เหมือนดูหนังหรือซีรีย์ย้อนยุคดีครับ...วันนี้หวังว่าจะได้รับความรู้เกี่ยวกับราชวงศ์วินด์เซอร์มากขึ้นนะครับ :=]

iWhitmore


ขอบคุณภาพจาก http://en.wikipedia.org/wiki/File:Badge_of_the_House_of_Windsor.svg

002: Royal Wedding Route


…ยังอยู่ในเรื่องราวของงานอภิเษกฯอยู่นะ อันนี้เป็นเส้นทางของขบวนแห่และเส้นทางเสด็จฯในวันที่มีพระราชพิธี ซึ่งตรงกับวันศุกร์ที่จะถึงนี้แหละครับ โดยเส้นทางที่ใช้นั้นอยู่ในเขตCity of Westminsterของกรุงลอนดอน ใช้ถนนโดยรอบสวนสาธารณะเซนต์เจมส์ พาร์ค (St.James’ Park) และบริเวณใกลเคียง
พระราชพิธีจะเริ่มที่พระราชวังบัคกิ้งแฮมเวลาประมาณ 10.50น. มุ่งตรงไปตามถนน The Mall แล้วเลี้ยวขวาที่จตุรัสทราฟัลการ์ ไปตามถนน Whitehall มุ่งตรงไปยังจตุรัสรัฐสภา แล้วเลี้ยวซ้ายสู่มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์เวลาประมาณ 11.00 น.โดยผ่านสถานที่สำคัญๆหลายแห่ง ดังนี้ (ตามในรูป)
1.พระราชวังบัคกิ้งแฮม : เป็นจุดเริ่มต้นของขบวนพระราชพิธี (เอาไว้วันหลังจะเขียนเรื่องของที่นี่ด้วย :=]) พระราชวังแห่งนี้เป็นที่ประทับหลักของราชวงศ์อังกฤษมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรียเมื่อปี ค.ศ. 1837
2.พระราชวังแคลเรนซ์ เฮาส์ : พระราชวังแห่งนี้ ออกแบบโดยสถาปนิกผู้โด่งดังคือ จอห์น แนช ใช้เป็นที่ประทับของเจ้าชายแห่งเวลส์และดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์ ปัจจุบันเป็นที่ประทับของเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮร์รี่
3.ถนนเดอะ มอลล์ (The Mall) : เป็นถนนเส้นสำคัญของกรุงลอนดอน เพราะใช้ในงานพระราชพิธีต่างๆหลายครั้ง เส้นทางของถนนเริ่มต้นจากหน้าพระราชวังบัคกิ้งแฮมตรงไปยังจัตุรัสทราฟัลการ์ โดยในพระราชพิธีที่จะถึงนี้ ถนนThe Mallจะปิดการจราจรทั้งหมด
4.ลานสวนสนามของขบวนทหารม้าราชองครักษ์ : หรือ Horse Guard Parade เป็นพื้นที่สำหรับขบวนเดินสวนสนามของเหล่าทหารม้า ลานนี้ตั้งอยู่ที่ด้านหลังของสวนสาธารณะเซนต์เจมส์ พาร์ค
5.อนุสาวรีย์ วีรชนสตรียุคสงครามโลกครั้งที่ 2 : Women of World War II Monument
6.ถนนดาวน์นิ่ง : เป็นถนนที่มีชื่อเสีงมากเส้นหนึ่งครับ เพราะเป็นที่ตั้งของบ้านพักนายกรัฐมนตรีแห่งอังกฤษมาตั้งนมนานแล้ว
7.กระทรวงกิจการต่างประเทศและเครือจักรภพของอังกฤษ : หรือที่เรียกย่อๆว่าFOC (Foreign and Commonwealth Office)
8.Cenotaph : (แปลว่าอนุสาวรีย์รำลึกถึงผู้ตาย) เป็นอนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่1 ออกแบบโดย Sir Edwin Lutyens มีข้อความที่จารึกว่า “The Glorious Dead”อยู่ข้างๆ
9.กระทรวงการคลังแห่งอังกฤษ (HM Treasury) : เดิมเป็นหน่วยงานดูแลพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์แห่งอังกฤษ บ้านเราเรียกพระคลังข้างที่รึเปล่าไม่แน่ใจ แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นกระทรวงการคลัง คอยดูแลนโยบายด้านเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ
10.อาคารรัฐสภาและหอนาฬิกาบิ๊กเบน : อันนี้ทุกคนคงรู้จักกันดีอยู่แล้ว เพราะถือว่าเป็นแลนด์มาร์คของลอนดอนเลยก็ว่าได้ครับ อ้อ!!สำหรับอาคารรัฐสภานั้น จริงๆก็คือพระราชวังเวสมินสเตอร์นั่นเองล่ะครับ
11.มหาวิหารเวสมินสเตอร์ (Westminster Abbey) : ต้องวงเล็บไว้ด้วย เพราะคนละที่กับWestminster Catedral เดี๋ยวสับสน…ที่นี่ถือเป็นจุดสิ้นสุดของขบวนพระราชพิธี มหาวิหารนี้เป็นมหาวิหารสำคัญของราชวงศ์วินด์เซอร์ครับ
……………………………
เป็นไงบ้าง สำหรับการเกาะติดเส้นทางพระราชพิธีอภิเษกสมรส…Whitmoreอยากไปงานนี้ครับ ครั้งนึงในชีวิต แต่ติดที่ว่าต้องมานั่งเรียนซัมเมอร์ปวดสมองตุบๆกับตรรกศาสตร์,ฟังก์ชั่น และอสมการ – - คิดแล้วอยากจะร้องไห้ :=P
อันที่จริง บทความอันนี้ต้องหาข้อมูลจากหลายเว็บทีเดียว และแปลจากหลายบทความ เพราะรายละเอียดกะเอาให้ชัวร์ กว่าจะเสร็จก็เล่นเอาเหนื่อย แต่ถือว่าสนุกมากเลยทีเดียว 555+
iWhitmore
ขอบคุณแผนที่จาก: http://britainsroyalwedding.com/royal-wedding-route-map/

001: Arms of Kate Middleton


….อีกไม่กี่วันก็จะถึงพิธีเสกสมรสของเจ้าชายวิลเลี่ยมและเคท มิดเดิลตันแล้วครับ พิธีที่ว่างนี้จะจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2011 นี้ ที่วิหารเวสมินส์เตอร์ในกรุงลอนดอนครับ เราเลยมาตามกระแสงานนี้กันหน่อย โดยวันนี้เราจะเริ่มต้นกันด้วยเรื่องราวของ Coat of Arms หรือ ตราประจำตระกูล กันนะครับ
Coat of Arms หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า “ตราอาร์ม”นี้ เริ่มใช้กันมาในยุโรปสมัยโบราณโน่นล่ะครับ ในธรรมเนียมของยุโรปสมัยนั้น ตราอาร์มจะเป็นสัญลักษณ์ซึ่งออกแบบขึ้นสำหรับบุคคล หรือตระกูล หรือสมาคม ก็แล้วแต่ โดยมีการพัฒนาและดัดแปลงมาจากราประจำตัวของอัศวินในยุโรปสมัยโบราณเพื่อจำแนกพวกของตัวเองออกจากพวกของศัตรู
แต่Coat of Armsที่จะพูดถึงวันนี้ไม่ใช่ตราธรรมดาๆของขุนนางที่ไหนก็ไม่รู้นะครับ แต่อย่างที่บอก เพื่อให้เข้ากับพิธีอภิเษกฯ เราจึงจะพูดถึง Coat of Arms ที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่เอี่ยมเพื่อต้อนรับสมาชิกของราชวงศ์คนล่าสุดอย่าง เคท มิดเดิลตัน ในงานอภิเษกสมรสกับเจ้าชายวิลเลี่ยม นั่นเองล่ะครับ ซึ่งตรานี้จะถูกเผยแพร่และใช้เป็นตราหลักในพิธีอภิเษกที่จะถึงนี้ด้วย
Coat of Arms ของ เคท มิดเดิลตัน
<<นี่เป็นตราสัญลักษณ์หรือ Coat of Arms ของเคท มิเดิลตัน ซึ่งดัดแปลงมาจากตราประจำตระกูลมิดเดิลตัน ที่จัดทำขึ้นโดยไมเคิล มิดเดิลตัน บิดาของเธอ และผู้ที่มีส่วนสำคัญในการออกแบบนี้ก็คือ โธมัส วูดค็อก ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายพิธีการระดับสูง โดยตรานี้จะถูกนำไปรวมกับตราประจำพระองค์ของเจ้าชายวิลเลียมภายหลังพิธีอภิเษกด้วย
ผลโอ๊คที่ปรากฏในตราสัญลักษณ์ ถูกนำมาใช้ เนื่องจากเมืองเบิร์กไชร์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เคต และน้องของเธอเติบโตขึ้นมานั้นเต็มไปด้วยต้นโอ๊คมากมาย อีกทั้งโอ๊คยังเป็นสัญลักษณ์ที่ยอมรับนของ “อังกฤษ” และ “ความแข็งแกร่ง” ที่มีมาอย่างยาวนาน
พื้นหลังของลูกโอ๊ค ที่เป็นสีน้ำเงิน และสีแดงนั้นก็ถูกนำมาใช้เพราะเป็นสีหลักบนธงชาติของอังกฤษ ขณะที่เครื่องหมายรูปตัววีคว่ำสีทอง สื่อความหมายถึงมารดาของเคท ซึ่งมีชื่อกลางว่าโกลด์สมิธ (ที่แปลว่าช่างทองนั่นล่ะครับ) และตัววีคว่ำสีขาวอีก 2 อันนั้นมีนัยถึงภูเขาเทือกเขา ซึ่งสื่อถึงกิจกรรมภายนอกที่ครอบครัวมีความสุขร่วมกัน ตราประจำตัวซึ่งมีลักษณะเหมือนเม็ดพลอยถูกผูกไว้ด้วยโบว์ เป็นการแสดงถึงการเป็นลูกสาวที่ยังไม่ผ่านการแต่งงานมาก่อนนั่นเองครับ…
  iWhitmore
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก : http://en.wikipedia.org/wiki/Kate_Middleton

Introduction


26 เมษายน 2011 : 4.48pm
…วันนี้ถือเป็นวันที่ดี ท้องฟ้าแจ่มใสครับ จะขอเริ่มต้นแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ดีๆ โดยอาศัยพื้นที่บนบล็อกแห่งนี้ล่ะครับ
ผมเป็นคนชอบเขียน ชอบค้นคว้า ชอบเดินทาง สนใจในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม แต่เลือกที่จะเรียนด้านInternational Business เพื่อทำตามความฝันตัวเอง ซึ่งตอนเด็กๆอยากเรียนมากและตั้งใจจะเข้าคณะนี้ให้ได้ เพราะคิดว่าจะได้เดินทางไปรอบโลก ได้พบเจอผู้คนมากมายในหลายๆประเทศ หลายๆวัฒนธรรม
ผมเคยมีความคิดที่จะเขียนบล็อกอยู่เหมือนกัน เมื่อนานมาแล้ว เริ่มต้นได้พักหนึ่งแต่ก็หยุดเขียนไป จนแทบจะเรียกได้ว่าลืมusernameกับpasswordไปเสียแล้ว :P ตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้ว  เมื่อเริ่มเปิดแล็ปท็อปขึ้นมาและบอกกับตัวเองว่าจะทำอะไรให้เป็นจริงเป็นจังเสียที :=]
ขอชี้แจงไว้ตรงนี้ก่อนว่าเรื่องราวต่างๆบนบล็อกนี้ เป็นอะไรที่จับฉ่ายสุดๆเลยครับ เพราะมีหลายเรื่อง หลายหมวดหมู่ แล้วแต่ความสนใจในละช่วง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเสียมากครับ
ในตอนท้ายนี้ แม้จะไม่เกี่ยวอะไรกันกับเรื่องที่เขียนวันนี้ แต่มีคติอันหนึ่งที่ผมเคยได้ยินบ่อยๆ และยึดถือมันมาตลอดเลยเอามาแบ่งปันกัน:
” The future belongs to those who believe in the beauty of their dreams.”
อนาคตเป็นของคนที่เชื่อในความฝันของตัวเองเท่านั้น
    iWhitmore